ตามหลักฐานที่มีอยู่นั้นเห็นได้ว่าศาสนาอิสลามได้เข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 หรือบางรายงานก็บอกว่าศาสนาอิสลามเข้ามาในศตวรรษที่13 โดยการเผยแพร่ศาสนาในสมัยโบราณนั้นกระทำได้ 3 ทางด้วยกัน คือ ประการแรก กำลังทหาร ประการที่สอง โดยมาทางนักบุญหรือผู้สอนศาสนา และประการสุดท้ายโดยพ่อค้า ซึ่งการเผยแพร่ศาสนาอิสลามเข้ามายังประเทศไทยจะใช้ประการหลังสุดคือการที่พ่อค้านำมาเผยแพร่
อิสลามแพร่หลายเข้ามาโดยกลุ่มพ่อค้าอาหรับที่นำศาสนาอิสลามเข้ามา โดยพ่อค้าเหล่านั้นจะเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายในดินแดนที่ตนมาอยู่จนมีฐานะร่ำรวย แล้วมีความสัมพันธ์กับเจ้าผู้ครองนคร และในที่สุดเจ้าผู้ครองนครในบริเวณนี้มีความศรัทธาในศาสนาอิสลามและหันมานับถือศาสนาอิสลาม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรมอ่อน และมีความเชื่อถือในไสยศาสตร์ด้วย การยอมรับเอาศาสนาอิสลามเข้ามานับถือแทนศาสนาหรือลัทธิความเชื่อเดิมของตนจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดินแดนที่เป็นแหล่งรับวัฒนธรรมด้านศาสนาอิสลามเข้ามาในช่วงแรกๆ ของไทยก็คือบริเวณทางใต้สุดของประเทศไทยได้แก่ ปัตตานี และหากจะถือเอากรุงสุโขทัย (ราว พ.ศ.1800) เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยก็ถือได้ว่าศาสนาอิสลามได้เข้ามาในประเทศไทยก่อนหน้าที่จะตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าปัตตานีตกเป็นของไทยในสมัยใด แต่ในสมัยสุโขทัยนั้นมีอาณาเขตถึงนครศรีธรรมราชอันเป็นเมืองทางใต้ ส่วนเขตการปกครองของนครศรีธรรมราชนี้ยาวไปถึงแหลมมลายู สิงคโปร์ มะละกา ซึ่งการปกครองจะใช้วิธีส่งดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองสามปีต่อครั้ง ถ้าหากไม่จัดส่งตามกำหนดระยะเวลาทางอาณาจักรใหญ่ก็จะส่งกองทัพไปปราบปรามเมืองขึ้นนั้น
ปัจจุบันชาวมุสลิมที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยจะมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากหลายแห่ง ได้แก่
-กลุ่มแรก พวกที่มีบรรพบุรุษเป็นมลายูหรือมาเลย์ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่สุด
-กลุ่มที่สอง เป็นมุสลิมที่สืบเชื้อสายมาจากเปอร์เซีย
-กลุ่มที่สาม มีเชื้อสายชวา
-กลุ่มที่สี่ มีเชื้อสายมาจากจาม – เขมร
-กลุ่มที่ห้า สืบเชื้อสายมาจากเอเชียใต้ จากอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศและอัฟกานิสถาน และพวกสุดท้าย เป็นมุสลิมที่สืบเชื้อสายมาจากจีน
ชาวมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเป็นชาวมุสลิมที่สืบเชื้อสายจากมลายูหรือมาเลย์ ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณชายแดนภาคใต้ของไทยในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และบางส่วนในจังหวัดสตูลและสงขลา นอกจากนี้ยังอยู่ในภาคอื่นๆ อาทิเช่น จังหวัดอยุธยาเป็นจังหวัดที่มีชาวมุสลิมอยู่มากคือประมาณ 160,000 คน โดยมุสลิมเหล่านั้นได้ถูกกวาดต้อนมาไว้ในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นอกจากนี้จะมีมากในแถวจังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทราและนนทบุรี ส่วนในกรุงเทพมหานครไปตั้งรกรากอาศัยอยู่ในที่หลายๆ แห่ง เช่น ธนบุรี สี่แยกบ้านแขก ทุ่งครุ พระประแดง บางคอแหลม มหานาค พระโขนง คลองตัน มีนบุรี หนองจอก เป็นต้น
ชาวมุสลิมจากเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ไทยได้แก่ ชัยค์(เฉก) อะห์มัด กูมี (Shieak Ahmad Qumi) ซึ่งเข้ามาประเทศไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ก่อน พ.ศ. 2143) โดยท่านผู้นี้นำศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์มาเผยแพร่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม Shieak Ahmad Qumi เจริญรุ่งเรืองในทางราชการในราชสำนักของไทย ได้รับยศเทียบเท่าเจ้าพระยา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพาณิชย์ ช่วยปรับปรุงราชการด้านกรมท่าขวา และได้เป็นจุฬาราชมนตรี มีหน้าที่เก็บภาษีสินค้าเข้าออก ดูแลการเดินเรือระหว่างประเทศและดูแลกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย ท่านผู้นี้เป็นต้นตระกูลบุนนาค บุณยรัตตพันธ์ ศรีเพ็ญ สุคนธาภิรมย์ เป็นต้น ขณะนี้มุสลิมนิกายชีอะห์จากเปอร์เซียจะอยู่กันมากย่านเจริญพาสน์ ฝั่งธนบุรี
ในสมัยอยุธยานั้นก็มีชาวชวามาตั้งหลักแหล่งอยู่เช่นเดียวกันกับคนกลุ่มอื่น ๆ ต่อมาชาวชวาเข้ามาไทยอีกในสมัยรัชกาลที่ 5 การที่ชาวชวาเข้ามาน่าจะมีสาเหตุมาจากการทำมาหากิน เพราะค่าจ้างในไทยสูงกว่าในชวาถึง 3 เท่า และในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองชาวชวาถูกญี่ปุ่นเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะ เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม ชาวชวาก็หนีมาอาศัยอยู่ในไทยไม่ยอมกลับอินโดนีเซีย
ปัจจุบันในกรุงเทพมหานครจะมีมุสลิมเชื้อสายชวามากรองจากเชื้อสายมาเลย์เท่านั้น โดยตั้งหลักแหล่งอยู่ที่ท้องที่ เขตพระราชวัง ชนะสงคราม บางขุนพรหม สามเสน ดุสิต นางเลิ้ง ประแจจีน บ้านทวาย สาทร บางรัก พาหุรัด สำราญราษฎร์ เป็นต้น
กล่าวได้ว่าศาสนาอิสลามเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายออกมาในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือทุกภาคของประเทศไทย จากคนที่เข้ามาหลายเชื้อชาติ หลายเผ่าพันธุ์ ทั้งมาเลย์ เปอร์เซีย ชวา อินเดีย ปากีสถาน จามและจีน
.............................
ที่มา: รองศาสตราจารย์ดร. จรัล มะลูลีม คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
http://www.dopa.go.th/iad/subject/isalamedu.doc,
http://www.heritage.thaigov.net/religion/others/islam1.htm